ท้องผูก
อาการยอดฮิตที่เจอได้บ่อยในชีวิตประจำวันตั้งแต่เด็กยันแก่
แม้ดูเป็นเรื่องที่ไม่น่าใหญ่โต
แต่ก็สร้างความทรมานเมื่อถ่ายไม่ออกเป็นเวลานานได้เช่นกัน
และอาจส่งผลเสียด้านร่างกายตามมา ทางที่ดีควรขจัดปัญหานี้ตั้งแต่แรก ๆ
ก่อนที่จะลุกลามเป็นเรื่องใหญ่
อาการแบบไหนเรียกท้องผูก
ถ่ายไม่ออกแค่ไหนถึงจะเรียกท้องผูก
เป็นคำถามที่หลายคนสงสัย บางคนอาจหมายถึงการถ่ายอุจจาระไม่บ่อย
อีกคนอาจบอกว่าเป็นอาการถ่ายลำบาก ถ่ายไม่สุด หรืออุจจาระมีลักษณะแข็ง หากถามความเห็นคงจะแตกต่างกันออกไป
เนื่องจากธรรมชาติในการขับถ่ายของแต่ละคนไม่เหมือนกัน
และมีปัจจัยหลายอย่างมาเกี่ยวข้อง แต่ในทางการแพทย์ได้ให้คำนิยามของ อาการท้องผูก
ว่าเป็นภาวะที่มีการถ่ายอุจจาระน้อยกว่า 3 ครั้งต่อสัปดาห์
นอกจากนี้ คนส่วนใหญ่มักเข้าใจว่าการไม่ถ่ายอุจจาระทุกวันอาจเป็นสัญญาณของอาการท้องผูก
โดยทั่วไปจำนวนการถ่ายอุจจาระของคนเราจะลดลงตามอายุ
ผู้ใหญ่ที่มีสุขภาพดีจะถ่ายอุจจาระอยู่ในช่วงประมาณ 3-21 ครั้งต่อสัปดาห์
ซึ่งถือเป็นการถ่ายที่ปกติ ดังนั้น
ผู้ที่ไม่ได้ถ่ายอุจจาระทุกวันก็อาจไม่ได้หมายถึงมีอาการท้องผูกแต่อย่างใด
ตราบใดที่สุขภาพแข็งแรงและมีการตรวจสุขภาพอย่างสม่ำเสมอ
บอกลาอาการท้องผูกด้วยวิธีแก้ง่าย
ๆ
แก้ไขปัญหาท้องผูกให้กลับมาถ่ายคล่องด้วยวิธีง่าย
ๆ ในชีวิตประจำวัน โดยไม่ต้องพึ่งยาถ่ายเป็นตัวเลือกแรกอยู่เสมอ
ซึ่งคุณเองก็ทำได้ตามคำแนะนำ ดังนี้
1.
เพิ่มใยอาหารให้มากขึ้น
ทางแก้ธรรมชาติที่หลายคนอาจมองข้ามคือการรับประทานใยอาหารหรือไฟเบอร์
เพื่อช่วยให้ลำไส้กลับมาทำงานเป็นปกติได้ไว โดยทั่วไปคนเราควรได้รับใยอาหารประมาณ 20-35 กรัมต่อวัน
ซึ่งพบได้มากในอาหารประเภทผัก ผลไม้สดหรือแห้ง ธัญพืช เช่น ข้าวโอ๊ต ข้าวกล้อง
ลูกพรุน แครอท หน่อไม้ฝรั่ง ลูกเกด
ผู้ที่ไม่คุ้นชินอาจค่อย ๆ
เพิ่มปริมาณขึ้นทีละน้อย โดยเลือกรับประทานผักและผลไม้ให้ได้วันละ 5 ส่วน
และในแต่ละมื้อควรมีผักผลไม้ที่มีสีสันแตกต่างกัน
เพื่อให้ร่างกายได้รับประโยชน์อย่างครบถ้วน ส่วนคนที่ได้รับใยอาหารไม่เพียงพอสามารถเติมสารเพิ่มปริมาณ
(Bulking Agents) ในอาหารที่รับประทาน เช่น รำข้าวสาลี
หรือรับประทานผลิตภัณฑ์เสริมอาหารประเภทไฟเบอร์ เช่น ไซเลียม (Psyllium) เมธิลเซลูโลส (Methylcellulose) เพื่อช่วยให้อุจจาระอ่อนตัวลงและง่ายต่อการขับถ่าย
นอกจากนี้ ควรหลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์จากนมประเภทต่าง ๆ
และอาหารไขมันสูงในช่วงที่มีอาการท้องผูก เพราะอาจทำให้อาการแย่ลง
2.
ดื่มน้ำมาก ๆ
แม้ว่าน้ำที่เข้าสู่ร่างกายจะถูกขับผ่านทางปัสสาวะเป็นหลัก
แต่บางส่วนจะถูกขับผ่านทางอุจจาระเช่นกัน
ผู้ที่มีอาการท้องผูกจึงควรดื่มน้ำสะอาดควบคู่ไปกับการรับประทานอาหารด้วย
เพื่อช่วยให้ใยอาหารดูดซับน้ำได้ดี ทำให้อุจจาระพองตัว นุ่ม และเบ่งออกได้ง่าย
รวมไปถึงลดการอุดตันของลำไส้ และป้องกันอาการท้องอืด
จากการรับประทานใยอาหารมากเกินไป
ในแต่ละวันคนเราควรดื่มน้ำสะอาดอย่างน้อย 2 ลิตรหรือประมาณ 8-10 แก้ว โดยช่วงแรกให้ค่อย ๆ เพิ่มปริมาณในการดื่มน้ำให้มากขึ้น 3-4 แก้วจากปริมาณน้ำที่ดื่มปกติในแต่ละวัน
และหลีกเลี่ยงการได้รับน้ำจากเครื่องดื่มจำพวกแอลกอฮอล์
เพราะจะทำให้ร่างกายสูญเสียน้ำออกไปมากกว่าเดิม นอกจากนี้
การดื่มน้ำไม่เพียงพอในขณะเกิดอาการท้องผูกอาจทำให้ร่างกายเกิดภาวะขาดน้ำ
เนื่องจากลำไส้มีการดูดน้ำจากอุจจาระที่ตกค้างกลับเข้าสู่ร่างกาย ทำให้อุจจาระแข็ง
ถ่ายออกลำบาก
3.
ขยันออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
ควรออกกำลังกายเป็นประจำอย่างน้อย 30 นาทีต่อวัน
อาจเป็นการเดินหรือวิ่งเหยาะ ๆ รวมไปถึงพยายามเคลื่อนไหวร่างกายในชีวิตประจำวันบ่อย
ๆ เพื่อช่วยเพิ่มการบีบตัวของลำไส้มากขึ้น
ทำให้กล้ามเนื้อและระบบขับถ่ายทำงานเป็นปกติมากขึ้น
4.
ปรับพฤติกรรมการขับถ่ายให้ถูกต้อง
วิถีที่เร่งรีบของสภาพสังคมก็มีส่วนกระตุ้นให้เกิดอาการท้องผูกได้ง่าย
ผู้ที่มีอาการท้องผูกบ่อยควรเริ่มปรับพฤติกรรมการขับถ่ายให้เป็นเวลาในแต่ละวัน
ไม่กลั้นอุจจาระเมื่อเกิดอาการปวดโดยไม่จำเป็นหรือถ่ายด้วยความรีบเร่ง นอกจากนี้
ท่านั่งในการถ่ายอุจจาระก็สำคัญ
การนั่งถ่ายบนโถส้วมชักโครกควรโค้งตัวไปด้านหน้าเล็กน้อย
อาจมีเก้าอี้ตัวเล็กรองบริเวณขา เพื่อชันเข่าขึ้นมาเล็กน้อย ทำให้หัวเข่าอยู่ในตำแหน่งที่สูงกว่าสะโพก
ซึ่งเป็นท่าที่ช่วยให้สะดวกต่อการขับถ่าย
5. เสริมการทำงานของลำไส้ด้วยโปรไบโอติกส์
โปรไบโอติกส์
(Probiotics) เป็นแบคทีเรียชนิดหนึ่งที่อาศัยอยู่ภายในลำไส้ของคนเราและไม่ก่อโรคให้ร่างกาย
เช่น Lactobacillus Bifidobacterium หรือ Sacchromyces
Boulardi และยังพบอยู่ในอาหารบางประเภท โดยเฉพาะ
โยเกิร์ต นมเปรี้ยว
ซึ่งมีการศึกษาพบว่าแบคทีเรียเหล่านี้ช่วยสร้างความสมดุลของสภาวะในระบบการย่อยอาหาร
โดยไปลดแบคทีเรียชนิดที่เป็นอันตรายต่อร่างกายไม่ให้มีมากเกินไป
และช่วยปรับการทำงานของลำไส้ให้เป็นปกติ
การรับประทานโปรไบโอติกส์ที่พบในอาหารต่าง ๆ
หรือผลิตภัณฑ์โปรไบโอติกส์ในรูปแบบอาหารเสริมอาจเป็นอีกตัวเลือกที่ช่วยบรรเทาอาการท้องผูกให้ดีขึ้นได้
อีกทั้งยังค่อนข้างปลอดภัยและไม่ค่อยเกิดผลข้างเคียง อย่างไรก็ตาม
ยังไม่สามารถสรุปได้อย่างชัดเจนว่าโปรไบโอติกส์ช่วยลดอาการท้องผูกในทุกรายได้เต็มประสิทธิภาพ
เนื่องจากมีการศึกษาที่ยังไม่มากพอและแต่ละคนอาจมีการตอบสนองต่อแบคทีเรียที่แตกต่างกัน
ยาระบาย
ทางเลือกสุดท้ายในการขับถ่าย
เมื่อการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมและการรับประทานอาหารไม่ช่วยให้อาการดีขึ้น
อีกทางเลือกที่ช่วยบรรเทาอาการท้องผูก คือ ยาระบายหรือยาถ่ายที่รู้จักกันดี
ซึ่งตัวยาแบ่งได้หลายชนิด มีกลไกในระบบทางเดินอาหาร
และระดับความรุนแรงของฤทธิ์ยาที่แตกต่างกัน ดังนั้น ก่อนการใช้ยาระบายทุกครั้ง
ควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกร เพื่อความปลอดภัย
ตัวอย่างยาระบายที่ใช้รักษาอาการท้องผูก
เช่น
ยาในกลุ่มที่ช่วยเพิ่มมวลอุจจาระ (Bulk Forming Laxatives) จะช่วยเพิ่มปริมาตรในอุจจาระให้มีมากขึ้นและบางตัวมีสารที่มีคุณสมบัติในการดูดน้ำได้ดี
อุจจาระจึงนิ่มและถ่ายออกได้ง่าย ค่อนข้างปลอดภัย แต่ควรระมัดระวัง
ยาในกลุ่มออสโมซิส
(Osmotic Laxatives) จะออกฤทธิ์ดูดซึมน้ำกลับเข้าสู่ลำไส้ใหญ่มากขึ้น
ทำให้อุจจาระไม่แห้งและแข็งจนถ่ายออกลำบาก
ยาช่วยหล่อลื่นอุจจาระ
(Lubricant) เป็นยาที่ช่วยเพิ่มความลื่นให้แก่ลำไส้
อุจจาระจึงเคลื่อนตัวได้ง่ายขึ้น
ยาเหน็บและการสวนอุจจาระ
(Suppositories/Enemas) ยาเหน็บช่วยทำให้อุจจาระอ่อนนุ่มลงและเพิ่มการเคลื่อนไหวของลำไส้ในการขับอุจจาระมากขึ้น
ยาที่ช่วยให้อุจจาระอ่อนตัว
(Stool Softeners) มีฤทธิ์ช่วยให้อุจจาระนิ่มจนง่ายต่อการเคลื่อนตัวผ่านลำไส้
อย่างไรก็ตาม
อาการท้องผูกที่เกิดขึ้นเป็นครั้งคราวอาจไม่ใช่เรื่องน่าห่วงมากนัก
จึงอาจไม่ต้องเข้ารับการตรวจวินิจฉัยทุกคน
เพราะเป็นอาการทั่วไปที่เกิดได้ในชีวิตประจำวัน
ยกเว้นอาการท้องผูกที่เกิดขึ้นโดยไม่ได้เปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการรับประทานอาหาร
การใช้ชีวิตประจำวัน หรือการใช้ยา อาการรุนแรงมากขึ้นกว่าเดิมแม้ว่าบรรเทาอาการเบื้องต้นด้วยการทานยาระบายก็ไม่หาย
ซึ่งการใช้ยาระบายบ่อยจะเป็นผลเสียต่อร่างกาย
มีประวัติครอบครัวเป็นมะเร็งลำไส้หรือกลุ่มโรคที่มีการอักเสบของระบบทางเดินอาหาร (Inflammatory Bowel Disease) รวมไปถึงมีอาการผิดปกติอื่น ๆ เช่น ถ่ายปนเลือด น้ำหนักลง
หรือท้องผูกเรื้อรังนานมากกว่า 3 สัปดาห์ขึ้นไป ควรไปพบแพทย์
เพื่อค้นหาสาเหตุและทางแก้อย่างถูกวิธี
ที่มา
รูปภาพ
http://www.photha.ac.th/wp/?p=7136