โรคอีสุกอีใส
เป็นโรคติดต่อที่มาด้วยอาการไข้ออกผื่น พบมากในเด็ก
เกิดจากการติดเชื้อไวรัสวาริเซลลา-ซอสเตอร์
โดยทั่วไปจะพบอัตราการป่วยได้สูงสุดในกลุ่มอายุ 5-9 ปี รองลงมาคือ 0-4 ปี, 10-14 ปี, 15-24 ปี และ 25-34 ปี ตามลำดับ ในคนที่อายุตั้งแต่ 35
ปีขึ้นไปอาจพบได้บ้าง โรคนี้มีโอกาสเกิดได้ใกล้เคียงกันทั้งหญิงและชาย
ซึ่งมักจะเป็นคนที่ไม่เคยป่วยเป็นโรคนี้หรือไม่เคยฉีดวัคซีนป้องกันโรคนี้มาก่อน
โรคอีสุกอีใสเป็นโรคที่ระบาดแพร่กระจายได้ง่าย
โดยเฉพาะในโรงเรียน สถานรับเลี้ยงเด็ก หรือตามชุมชนที่อยู่อาศัยทั่วไป
สามารถพบได้ตลอดทั้งปี
แต่จะมีอุบัติการณ์เกิดสูงสุดในช่วงเดือนมกราคมถึงเดือนเมษายน
สาเหตุของโรค
เกิดจากเชื้อไวรัสที่มีชื่อว่า “ไวรัสวาริเซลลา
ซอสเตอร์” (Varicella
zoster virus – VZV) หรือ Human herpesvirus type 3 (HHV-3) โดยเชื้อนี้จะก่อให้เกิดโรคอีสุกอีใสในผู้ที่เพิ่งติดเชื้อเป็นครั้งแรก
หลังจากนั้นเชื้อจะหลบซ่อนอยู่ในปมประสาท เมื่ออายุมากขึ้นหรือภูมิคุ้มกันต่ำ
เชื้อที่หลบซ่อนอยู่ก็จะเจริญเติบโตขึ้นใหม่ก่อให้เกิดโรคงูสวัด
การติดต่อ
ติดต่อโดยการหายใจเอาฝอยละอองจากทางเดินหายใจของผู้ป่วยเข้าไป
หรือจากการสัมผัสโดยตรงกับตุ่มน้ำที่ผิวหนังของผู้ป่วยที่อยู่ในระยะแพร่เชื้อ
ระยะเวลาแพร่เชื้อได้
คือ 1-2
วันก่อนผื่นขึ้นจนกระทั่งผื่นตกสะเก็ดหมด
ระยะฟักตัวของโรค
:
• ประมาณ 10-21 วัน
แต่โดยเฉลี่ยคือประมาณ 14-17 วัน หลังจากได้รับเชื้อโรค
หรือสัมผัสผู้ป่วย
อาการ
• เริ่มจากมีไข้ต่ำๆ ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ
และมีผื่นขึ้นเริ่มจากลำตัว ใปหน้า และลามไปแขนขา
ผื่นจะขึ้นบริเวณลำตัวมากกว่าแขนขา อาจพบตุ่มในช่องปากและเยื่อบุต่างๆ
ลักษณะผื่นตอนแรกจะเป็นผื่นแดง มักมีอาการคันร่วมด้วย
ต่อมาจะกลายเป็นตุ่มน้ำอย่างรวดเร็ว และตกสะเก็ด ในที่สุดสะเก็ดจะหลุดหายไปในเวลา 5-20 วัน
การวินิจฉัย
โดยทั่วไปแพทย์สามารถวินิจฉัยโรคนี้ได้จากการตรวจร่างกาย
โดยดูจากลักษณะอาการสำคัญของโรค ไม่จำเป็นต้องมีการตรวจอื่น ๆ เพิ่มเติม
ยกเว้นในผู้ป่วยที่เกิดผลข้างเคียงแทรกซ้อน หรือในกรณีจำเป็นต้องวินิจฉัยให้แน่ชัด
แพทย์จะทำการทดสอบน้ำเหลืองเพื่อหาระดับสารภูมิต้านทานต่อไวรัสอีสุกอีใส
หรือตรวจหาเชื้อจากตุ่มน้ำ
ภาวะแทรกซ้อน
ในเด็กที่มีสุขภาพแข็งรงพบได้น้อย
• แต่ถ้าเป็นในผู้ใหญ่อาจพบภาวะแทรกซ้อนได้มากขึ้น ที่พบได้บ่อยคือ
การติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อนจนกลายเป็นหนองและอาจทำให้เป็นแผลเป็นได้
• ภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงแต่พบได้น้อย คือ ปอดอักเสบและสมองอักเสบ
• ในหญิงตั้งครรภ์ถ้าเป็นโรคสุกใสในช่วงตั้งครรภ์ 3
เดือนแรกอาจทำให้เด็กในครรภ์พิการได้ เรียกว่า “กลุ่มอาการอีสุกอีใสแต่กำเนิด” (Congenital
varicella syndrome) ทำให้มีแผลเป็นตามตัว แขนขาลีบ ตาเล็ก ต้อกระจก
ศีรษะเล็ก ปัญญาอ่อน เป็นต้น
• นอกจากนี้นี้ถ้าเป็นในระยะก่อนคลอด 5 วัน หรือ
หลังคลอด 2
วันอาจทำให้ทารกที่เกิดมาเป็นอีสุกอีใสชนิดรุนแรงได้
• เมื่อผู้ป่วยหายจากโรคสุกใสแล้ว เชื้อไวรัส จะหลบซ่อนอยู่ในปมประสาทต่าง
และทำให้เกิดโรคงูสวัดได้ เมื่อภูมิต้านทานของร่างกายลดลงร่างกายอ่อนแอ แก่ตัวลง
หรือมีภูมิคุ้มกันต่ำ
วิธีรักษา
• ส่วนใหญ่อาการไม่รุนแรง และหายเองได้
• การรักษาด้วยยาต้านไวรัสอาจทำให้ระยะเวลาการเป็นโรคสั้นลง หากผู้ป่วยได้รับภายใน
24 ชั่วโมงหลังผื่นขึ้น
ซึ่งผู้ป่วยไม่จำเป็นต้องได้รัยยาต้านไวรัสทุกราย
แพทย์มักพิจารณาให้ในรายที่มีความเสี่ยงจะเกิดภาวะแทรกซ้อนรุนแรง
• ถ้าไข้สูง ใช้ผ้าเช็ดตัวลดไข้ อาจให้ยาลดไข้ในกลุ่มพาราเซทามอล
ไม่ควรใช้ยากลุ่มแอสไพลินเพราะอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคไรย์
ซึ่งเป็นภาวะที่เกิดความผิดปกติทางสมองและตับอย่างรุนแรง
• แพทย์อาจพิจารณาให้รับประทานยากลุ่มแอนตี้ฮีสตามีน หรือ ทาคาลาไมน์
เพื่อบรรเทาอาการคัน
• ระวังอย่าให้ผู้ป่วยเกาเพราะอาจเป็นแผลติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อนได้
แนะนำผู้ป่วยตัดเล็บให้สั้น
การป้องกันการแพร่กระจายโรค
• ผู้ที่เป็นโรคสุกใสควรแยกตัวจากผู้อื่น โดยหยุดเรียน หรือหยุดงาน
จนกว่าผื่นตกสะเก็ดหมด ไม่ควรใกล้ชิดผู้อื่นโดยเฉพาะ หญิงมีครรภ์ เด็กทารก
และผู้ที่มีภูมิต้านทานต่ำ
วัคซีนสำหรับป้องกันโรค
เป็นวัคซีนชนิดเชื้อเป็นฉีดเข้าที่ชั้นไขมันใต้ผิวหนัง
ในผู้ใหญ่และเด็กอายุเกิน 12 ปีต้องฉีด 2 เข็ม ห่างกันอย่างน้อย 4-8 สัปดาห์
เนื่องจากวัคซีนเป็นชนิดเชื้อเป็นจึงมีข้อห้ามในผู้ทีมีภูมิต้านทานต่ำ เช่น
ผู้ทีรับประทานยากดภูมิต้านทาน ผู้ป่วยโรคเอดส์ที่ยังไม่ได้รักษา และหญิงมีครรภ์
ในเด็กที่ไม่มีข้อบ่งห้าม
สามารถฉีดได้ตั้งแต่อายุ 12
– 15 เดือนขึ้นไป และฉีดกระตุ้นอีกครั้งที่อายุ 4 -6 ปี หรืออาจฉีด 2 เข็มห่างกันอย่างน้อย 3 เดือน ซึ่งภูมิต้านทานจะขึ้นดีกว่าฉีด 1 เข็ม
เมื่อฉีดครบ 2 เข็มพบว่า 99%
ของผู้รับวัคซีนจะเกิดภูมิต้านทานต่อโรค ผู้ที่ได้รับวัคซีนส่วนหนึ่งยังอาจเกิดโรคสุกใสได้
แต่อาการจะไม่รุนแรง เช่น อาจไม่มีไข้
หรือจำนวนผื่นน้อยกว่ากลุ่มที่ไม่เคยรับวัคซีน
ในปัจจุบันมีการผลิตวัคซีนป้องกันโรคอีสุกอีใสให้อยู่ในรูปแบบของวัคซีนที่รวมอยู่ในเข็มเดียวกัน
ได้แก่ วัคซีนรวมป้องกันโรคหัด คางทูม หัดเยอรมัน และอีสุกอีใส (MMRV) ทำให้สะดวกและไม่ต้องเจ็บตัวมากขึ้น
ขอขอบคุณแหล่งที่มา
: https://www.phyathai.com/article_detail/1835/th/%E0%B9%82%E0%B8%A3%E0%B8%84%E0%B8%AD%E0%B8%B5%E0%B8%AA%E0%B8%B8%E0%B8%81%E0%B8%AD%E0%B8%B5%E0%B9%83%E0%B8%AA_(Chickenpox,_Varicella)